วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

อัศจรรย์ฝนที่ผู้ที่อยากเปียกก็เปียกผู้ไม่อยากเปียกก็ไม่เปียก(ฝนโบกขรพรรณ)


พระบรมศาสดาเสด็จไปยังพระนครกบิลพัสดุ์ ครั้งแรกทรงทำอิทธิปาฎิหาริย์
เหาะขึ้นไปบนอากาศ พระประยุรญาติได้ถวายบังคมแล้วเสด็จลงมาประทับนั่ง
บนพระบวรพุทธอาสน์ ยังฝันโบกขรพรรษ์ให้ตกลงในท่ามกลางสมาคมพระญาติ
 แล้วทรงประกาศมหาเวสสันดรชาดกยกขึ้นเป็นเทศนา
ครั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว บรรดาพระญาติทั้งหลายมีพระเจ้า
สุทโธทนะพระพุทธบิดาเป็นประธาน ก็ได้เบิกบานปีติปาโมทย์ เปิดพระโอษฐ์แซ่ซ้อง
สาธุการแล้ว พระญาติทั้งหลายก็กราบทูลลาคืนยังพระราชสถานแห่งตน มิได้มีพระญาติ
สักองค์หนึ่ง ได้กราบทูลอาราธนาให้ทรงรับอาหารบิณฑบาตรในยามเช้าพรุ่งนี้

       แม้แต่พระเจ้าสุทโธทนะ ก็เพียงแต่ทูลลามิได้ทูลอาราธนาเสวยพระกระยาหารเช้า
เช่นกัน ด้วยทรงนึกไม่ถึงว่า ธรรมดาพระจะต้องอาราธนา จึงจะได้มารับบิณฑบาตรในบ้าน
ซึ่งเป็นปกติของสามัญชนธรรมดาทั่วไปพระเจ้าสุทโธทนะทรงแน่พระทัยเป็นอย่างยิ่งว่า
 พระบรมศาสดาจะต้องพาพระสาวกทั้งหลายมาเสวยพระกระยาหารในพระราชนิเวศน์
ของพระองค์แน่นอน   จึงไม่ทรงทูลอาราธนา




เมื่อไม่ปรากฏว่ามีใครมาอาราธนาพระบรมศาสดาไป
เสวยที่ใดแล้ว พระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า พระพุทธเจ้าในปางก่อน เมื่อเสด็จประทับอยู่
ณ พระนครของพระพุทธบิดาแล้ว ทรงปฎิบัติอย่างไร ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า
พระพุทธเจ้าในปางก่อนได้เสด็จไปบิณฑบาตรตามลำดับตรอก พุทธดำเนินปรากฏ
แก่ประชาราษฏร์ ต่างได้มีโอกาสชมพระบารมีและมีความปีตียินดีประณมหัตถ์นมัสการ
นับเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้เห็นพระบรมศาสดา ทรงอุ้มบาตร

ขอบคุณข้อมูลอัศจรรย์ http://satuk.tripod.com/buddha/buddha4.htm

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

พระพุทธองค์ ทรงเนรมิตกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูอสูร


ในสมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน ในนครสาวัตถี อสุรินทราหูซึ่งเป็นอสูรอุปราชของท้าวเวปจิตติอสุรบดินทร์ผู้ครองอสูรพิภพ ได้สดับพระเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากเหล่าเทวดาทั้งหลาย จึงมีความประสงค์จะฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แต่คิดว่าพระพุทธองค์เป็นมนุษย์มีพระวรกายเล็ก ตนเองมีร่างกายใหญ่หากไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมองด้วยความลำบาก เมื่ออสุรินทราหู ไปเข้าเฝ้าสำคัญตัวว่ามีร่างกายใหญ่โตใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า จึงไม่ยอมแสดงความอ่อนน้อม พระพุทธองค์ทรงประสงค์จะลดทิฐิของอสุรินทราหูอสูร จึงทรงเนรมิตกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูอสูร ทรงนอนในลักษณะเสด็จสีหไสยาสน์ พระเศียรหนุนภูเขาต่างพระเขนย พระบาททั้งสองข้างที่วางซ้อนกันอยู่ สูงใหญ่กว่าอสุรินทราหู อสุรินทราหูต้องแหงนคอเพื่อชมพุทธลักษณะ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูขึ้นไปยังพรหมโลก บรรดาพรหมทั้งหลายมีร่างกายเล็กกว่าพระพุทธองค์และต่างมองอสุรินทราหูเหมือนประหนึ่งมนุษย์ดูมดปลวกตัวเล็กๆ อสุรินทราหูเกิดความกลัวต้องหลบอยู่ข้างหลังพระพุทธองค์ นับแต่นั้นมาก็ลดทิฐิมานะ อ่อนน้อมต่อพระพุทธองค์ และเมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง


ขอบคุณข้อมูลจาก
http://th.wikipedia.org/
ขอบคุณภาพจาก
http://www.amulet-world.com/#

พระพุทธานุภาพแห่งน้ำพระพุทธมนต์



เมื่อครั้งเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองไพศาลี มีประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก กษัตริย์ลิจฉวี เจ้าผู้ครองเมืองจึงได้กราบบังคมทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้เสด็จมาโปรดชาวเมือง พระพุทธองค์จึงทรงรับสั่งให้พระอานนท์ เจริญรัตนสูตร (รัตนปริตร) และประพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบพระนคร ทำให้ภัยต่าง เช่นโรคร้ายหายสิ้นไปจากพระนครด้วยพระพุทธานุภาพ เป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันจันทร์ เช่นเดียวกับปางห้ามสมุทรและปางห้ามพยาธิ



ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพิเดีย เรื่องพระพุทธรูปปางห้ามพระยาธิ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4

ขอบคุณผู้จัดทำ

http://www.youtube.com/watch?v=Ne-JqQgJACU